พายุทอร์นาโดและพายุเฮอริเคนทั้งสองมีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวาง แต่มันเป็นพายุที่มีความแตกต่างกัน ความแตกต่างที่สำคัญคือขนาดของพวกมัน พายุเฮอริเคนสามารถมองเห็นได้ง่ายจากอวกาศเพราะมันครอบคลุมส่วนสำคัญของพื้นผิวโลก ในขณะที่พายุทอร์นาโดแทบไม่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศเพราะมันเล็กกว่าและซ่อนอยู่ภายใต้เมฆที่ก่อตัว เมื่อเทียบกันแล้วกับพายุทั้งสองประเภทพายุทอร์นาโดนั้นมีความเร็วลมที่เร็วกว่าหลายคนจึงมองว่ามันดูอันตรายมากกว่าแต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย
พายุเฮอริเคนมักก่อตัวเหนือมหาสมุทรเขตร้อนซึ่งน้ำมีอุณภูมิอยู่ประมาณ 27 องศาเซลเซียส (80 องศาฟาเรนไฮต์) อบอุ่นและชื้นพอที่จะพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์ อากาศบริเวณรอบๆ จะเริ่มปรับความดันให้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่อากาศเย็นจากด้านบนเริ่มลดลงจนเริ่มเกิดกลายเป็นเกลียวของพายุ ส่วนพายุทอร์นาโดจะก่อตัวขึ้นเหนือพื้นดินในเมฆพายุฝนฟ้าคะนอง เราจะเห็นเมฆรูปกรวยเริ่มพัดลงมาที่พื้นจนก่อตัวเป็นทอร์นาโดที่น่ากลัว เป็นผลมาจากการความดันที่แตกต่างกันในระหว่างสองพื้นที่
เมื่อพายุทอร์นาโดเกิดขึ้นจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ต่ำกว่า 500 เมตร (0.25 ไมล์) ขนาดที่ใหญ่ที่สุดที่เคยบันทึกคือ 4 กิโลเมตร (2.5 ไมล์) ส่วนพายุเฮอริเคนมีขนาดใหญ่พอที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งรัฐหรือประเทศเล็กๆ โดยทั่วไปแล้วพายุเฮอริเคนจะอยู่ในระยะ 100 ไมล์ แต่บางชนิดก็สามารถใหญ่โตได้จนถึงขนาดที่ว่าพวกมันกินพื้นที่ครอบคลุมไปกว่า 500 ไมล์ พายุเฮอริเคนสามารถอยู่ได้หลายวันหรือหลายสัปดาห์ แต่โดยทั่วไปพายุทอร์นาโดเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นมักกินเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก่อนจะค่อยๆ สลายตัวไป
พายุเฮอริเคนแคทรีนา สร้างความเสียหายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความเสียหาย 108 พันล้านเหรียญสหรัฐ มันผ่านฟลอริดาในขณะที่เป็นพายุเฮอริเคนระดับที่ 1 แต่ได้รับกำลังมากขึ้นในอ่าวเม็กซิโกจนเพิ่มเป็นพายุระดับ 5 ก่อนที่จะกระทบชายฝั่ง ในทางตรงกันข้ามความเสียหายที่เกิดจากพายุทอร์นาโดที่ทำลายล้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯซึ่งกระทบเมืองจอปลิน รัฐมิสซูรี่ในปี 2011 ส่งผลให้เกิดความเสียหายเพียงประมาณร้อยละ 3 ของความเสียหายที่เกิดจากแคทรีนา ความแตกต่างนี้ตอกย้ำความจริงที่ว่าพายุเฮอริเคนเช่นแคทรีนาเป็นพายุที่มีขนาดใหญ่ และยาวนานกว่าพายุทอร์นาโด
No Comments